แบตเตอรี่ หัวใจสำคัญของรถยนต์
สมัยนี้ปัจจัยที่ 6 คือรถยนต์ซึ่งมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก ความรู้แบตเตอรี่ถือว่ามีความสำคัญไม่แพ้กันเพราะแบตเตอรี่รถยนต์คือหัวใจของรถยนต์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์หรือชิ้นส่วนแรกที่ทำให้รถยนต์สตาร์ทติดและยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานไฟฟ้าไปส่วนต่าง ๆ เช่นไฟหน้า ไฟหลัง ไฟภายในห้องผู้โดยสาร ระบบปรับอากาศ ระบบวิทยุ เป็นต้น
แบตเตอรี่ประเภทตะกั่วกรดสามารถจำแนกได้ 3 ชนิดดังต่อไปนี้
- แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดน้ำ (แบบเปียก) คือ แบตเตอรี่รถยนต์ที่ต้องดูแลรักษาโดยการเติมน้ำกลั่นทุกเดือน ลักษณะแบตเตอรี่เปียกจะมีช่อง 6 รูพร้อมฝาหมุนปิด ราคาค่อนข้างถูก สามารถใช้งานได้ประมาณ 1.5 ถึง 2.5 ปีหรือ 60,000-80,000 กิโลเมตรขึ้นอยู่กับการดูแลรักษา
- แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดกึ่งแห้ง (แบบกึ่งแห้งหรือMF) คือแบตเตอรี่ที่ถูกพัฒนาไม่นานนัก มีคุณสมบัติคล้ายกับแบบน้ำแต่ดูแลรักษาง่ายกว่าโดยคอยเติมน้ำกลั่นทุกๆ 4-6 เดือนเนื่องจากน้ำกรดข้างในมีความเข้มข้นสูงกว่าจึงระเหยตัวได้ช้ากว่า ราคาก็จะแพงกว่าแบบเปียกประมาณ 200 ถึง 300 ร้อยบาท สามารถใช้งานได้ประมาณ 2 ปีหรือ 70,000 ถึง 80,000 กิโลเมตร
- แบตเตอรี่รถยนต์ชนิดแห้ง (แบบแห้งหรือSMF) แบตเตอรี่ชนิดนี้ไม่มีรูเติมน้ำกลั่น ไม่ต้องดูแลรักษา มีตาแมวเอาไว้แสดงสถาณะไฟในแบตเตอรี่ ราคาค่อนข้างสูง แต่ใช้งานได้ทนทานโดยอายุงานเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3ปี
เปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ครั้งต่อไปควรเลือกแบตเตอรี่รถยนต์ชนิดไหน
การเลือกซื้อแบตเตอรี่ เราควรเลือกซื้อตามพฤติกรรมการดูแลรักษาของเรา โดยถ้าท่านไม่มีเวลาดูแลรักษาแบตเตอรี่ ก็ไม่ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ชนิดน้ำ นั่นหมายถึงถ้าลืมเติมน้ำแบตเตอรี่จะเสื่อมอายุทันที ดังนั้นควรจ่ายเงินซื้อแบตเตอรี่ชนิดแห้งเลยซะทีเดียว ขนาดของเครื่องยนต์ก็เป็นส่วนสำคัญ ในกรณีท่านใช้รถยนต์ขนาด 3,000 ซีซี. ซึ่งควรใช้แบตเตอรี่ที่มีขนาด 85 แอมป์ขึ้นไป ถ้าท่านเกิดอยากประหยัดเลือกแบตเตอรี่ 75 แอมป์เพราะเห็นว่าถูกกว่าหลายร้อย เตรียมตัวไว้เลยแบตเตอรี่ลูกนั้นจะใช้ได้ไม่เกินปีต้นๆ ดังนั้นควรเลือกแบตเตอรี่ที่มีขนาดแอมป์สัมพันธ์ตามขนาดของเครื่องยนต์ และถ้าท่านใช้รถยุโรปท่านก็ไม่ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ขั้วลอยที่ใช้สำหรับรถญี่ปุ่นแม้ว่าจะมีขนาดแอมป์เท่ากัน สาเหตุเนื่องมาจากรถยุโรปต้องการกระแสไฟที่แรงกว่าและมีความต้านทานสูงกว่าดังนั้นท่านควรใช้แบตเตอรี่สำหรับรถยุโรป (แบตเตอรี่ขั้วจม) ควรเลือกซื้อแบตเตอรี่ที่ใหม่สดจากโรงงานเพราะแบตเตอรี่ก็มีอายุงานไม่เกิน 3 ปีหลังจากผลิต
การดูแลรักษาแบตเตอรี่ที่ถูกต้อง
- ตรวจสอบสภาพของแบตเตอรี่เสมอ อย่าให้มีรอยแตกร้าว เพราะจะทำให้แบตเตอรี่ไม่เก็บประจุไฟฟ้า
- ดูแลขั้วแบตเตอรี่ให้สะอาด ถ้ามีคราบเกลือเกิดขึ้น ให้ทำความสะอาด
- ตรวจระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ทุก ๆ 1 สัปดาห์
- ตรวจเช็กระบบไฟชาร์จของอัลเตอร์เนเตอร์ ว่าระบบไฟชาร์จต่ำหรือสูงไป ถ้าต่ำไป จะทำให้กำลังไฟไม่พอขณะสตาร์ทเครื่องยนต์ ถ้าสูงไปจะทำให้ น้ำกรดและน้ำกลั่นอยู่ภายในระเหยหรือเดือดเร็ว
- ศึกษาการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับแบตเตอรี่และไดชาร์จ
- ควรเติมน้ำกลั่นให้ได้ตามระดับที่กำหนด ไม่ควรเติมต่ำหรือสูงเกินไป (หากเติมน้ำกลั่นสูงเกินไป จะทำให้เกลือขึ้นเร็วและแบตเตอรี่สกปรกเร็ว)
สังเกตสัญญาณเตือนก่อนแบตเตอรี่หมดอายุ
- เครื่องยนต์มีปัญหาสตาร์ทติดยาก
- ระบบไฟหน้าไม่สว่างเหมือนเดิม
- ระบบกระจกไฟฟ้าทำงานได้ช้าลง
- ระบบไฟฟ้าในรถทำงานผิดปรกติ ติดขัด หรือช้าลง
ขั้นตอนการพ่วงแบตเตอรี่
หากแบตเตอรี่หมดจนสตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติด ต้องแก้ไขด้วยการพ่วงแบตเตอรี่ ตามขั้นตอนต่อไปนี้
- ตรวจสอบแบตเตอรี่ก่อนพ่วง แบตเตอรี่ของคุณมีฝาให้ลองดูว่าน้ำกลั่นแข็งหรือแบตเตอรี่แตกไม่ หากเป็นเช่นนั้นห้ามพ่วงแบตเตอรี่เพราะอาจทำให้ได้รับอันตราย
- เตรียมอุปกรณ์ ในรถยนต์ทุกคันควรมีสายพ่วงแบตเตอรี่ความยาวอย่างน้อย 10 ฟุต แนะนำว่าควรซื้อติดรถไว้เลยเตรียมไว้ในกรณีฉุกเฉินราคาตั้งแต่ 300-1000 บาทแล้วแต่คุณภาพและขนาด หลังจากนั้นต้องหารถยนต์อีก 1 คันมาช่วงพ่วงแบตเตอรี่และตรวจดูว่าแบตเตอรี่ของรถคันนั้นมีกระแสไฟตรงกับรถคุณหรือไม่ สุดท้ายดับเครื่องรถทั้งสองคันก่อนการพ่วงสายแบตเตอรี่
- วิธีพ่วงสายแบตเตอรี่ ที่แบตเตอรี่แต่ละตัว จะมีขั้วโลหะสองขั้ว คือ ขั้วบวก (+) และขั้วลบ (-) ให้หนีบสายพ่วงที่เป็นขั้วบวกที่รถทั้งสองคันให้ตรงกัน จากนั้นหนีบสายพ่วงขั้วลบเข้ากับรถคันที่มีแบตเตอรี่เต็ม ส่วนอีกด้านต่อกับตัวถังรถของคันที่แบตเตอรี่หมด “อย่าให้สายขั้วลบไปแตะกับแบตเตอรีที่หมดหรือตำแหน่งอื่น ๆ ที่อยู่ใกล้กับแบตเตอรี่”
- ลองสตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง สตาร์ทติดเครื่องรถยนต์คันที่มีแบตเตอรี่เต็มและทิ้งเอาไว้สัก 3-5 นาที หลังจากนั้นให้ลองสตาร์ทเครื่องรถอีกคันที่แบตหมด อย่าเปิดไฟทิ้งไว้ขณะรอแบตเข้าเพราะจะทำให้แบตเข้าไม่ได้สักที ถ้าไม่ได้ ให้ทิ้งเอาไว้อีกสักพักแล้วลองใหม่อีกครั้ง หากสตาร์ทไม่ติดให้ลองโทรติดต่อกับบริษัทหรือศูนย์จำหน่ายรถยนต์เพื่อสอบถามปัญหาของรถรุ่นนั้น ๆ หรือแจ้งบริการรถยกไปอู่รถยนต์ที่คุณใช้บริการเป็นประจำเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุและซ่อมแซมรถยนต์ต่อไป
ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก: carbatterycb , directasia , https://www.Shutterstock.com , https://pixabay.com
เขียนโดย RPT LTD ., PART
ห้างหุ้นส่วนจำกัด รุ่งพิทักษ์กลการ
จำหน่าย อะไหล่รถยนต์ แท้ ทุกชนิด ทุกยี่ห้อ แบตเตอรี่ สายพาน น้ำมันเครื่อง ผ้าเบรค ลูกปืน หม้อน้ำ กรองเครื่อง ฯลฯ
ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม
โทร : 02-384-1560 , 02-757-8212
Line ID : jead1967
https://www.facebook.com/Rungpitakkonlakarn
https://www.rptcarparts.com/